เทศน์เช้า

มนุษย์สัตว์สังคม

๗ ม.ค. ๒๕๔๔

 

มนุษย์สัตว์สังคม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ประเสริฐกว่าทุกๆ อย่างเลย มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐแล้วนะ ตามที่ว่าเราคิดกันในทางโลก แต่ในทางธรรมก็จริงอยู่ ในทางธรรมพระไตรปิฎกไง “เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัตินี่เป็นอริยทรัพย์นะ ทรัพย์ของการเกิดเป็นมนุษย์นี่สำคัญที่สุดเลย”

เพราะว่าเกิดเป็นมนุษย์นะ พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ที่ภพมนุษย์ พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ที่นี่ เป็นเทวดาอยู่ดุสิตอยู่อะไรก็รอมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วมาตรัสรู้ธรรมไง มนุษย์นี้ถึงเป็นสัตว์ประเสริฐ นี่พูดถึงความเป็นบุญกุศลนะ

แต่เวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม “มนุษย์นี้โง่กว่าสัตว์” สัตว์มันเป็นนกเป็นกา มันยังมีอิสรภาพมากกว่ามนุษย์ มันจะบินไปโดยอิสรภาพเสรีภาพของมันตามสบายของมัน แต่มนุษย์นี้ติดในกรงขังของตัวเอง สร้างกติกาขึ้นมาแล้วก็ติดกติกาของตัวเองมนุษย์ขึ้นมา แต่เพราะอะไร? เพราะว่าอันนั้นเวลาพูดถึงเกิดเป็นมนุษย์แล้วมันหลงไง

ถ้ายังไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม การยังไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นจิตวิญญาณทั่วไป เกิดเป็นอะไรถึงสำคัญที่สุด? เกิดเป็นมนุษย์นี้สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าเกิดที่นี่ แต่พอเกิดมาแล้ว เห็นไหม ติดในกติกาของตัวเอง นี่ตอนเป็นธรรมแล้ว ตอนที่เป็นมนุษย์มันก็คิดไปเองเพราะอะไร เพราะมนุษย์นี่มีปัญญามาก คนที่มีปัญญามาก เห็นไหม สัตว์ที่ว่ามันกัดกัน มันตีกันนะ มันก็ประสามันนะ แต่เวลาสู้มนุษย์ไม่ได้ มนุษย์เอาไปกินหมด สัตว์ทุกอย่างมนุษย์กินได้หมดเลย มนุษย์นี้ยิ่งกว่ายักษ์อีก เวลาทำลายกันทำลายมากกว่านั้น

สังคมก็เหมือนกัน มนุษย์นี้เป็นสัตว์สังคม อยู่ด้วยตัวเองไม่ได้ แต่พออยู่ด้วยกันก็อยากเอารัดเอาเปรียบกัน เห็นไหม ถึงต้องออกกติกามาเพื่อ! เพื่อจะบังคับสังคมของมนุษย์ เห็นไหม เวลาที่ออกกติกามาเพื่อบังคับสังคมของมนุษย์ เวลามนุษย์ทำตัวเสียหาย เขาคดโกงกัน คนคดโกงกัน มันก็พลิกแพลงตามกฎหมายนั้นไป กฎหมายนี่เพื่อปกครอง เพื่อให้มันอยู่ความเป็นสุขไง แต่มันก็พลิกแพลงของมันไป เราถึงต้องหาคนที่ว่าออกกติกาสังคมเพื่อเป็นกติกาสังคมที่มันจะไปดี

นี่พูดถึงปัญญา ปัญญาเวลายกขึ้นมาเป็นปัญญาฝ่ายอกุศล เห็นไหม คนคิดชั่วนะ มันก็คิดพลิกแพลงของมันไปได้ มันพลิกแพลงมันไปได้ขนาดนั้นนะ แล้วมันโดนบังไว้ด้วยอะไร? ถ้าปัญญาอย่างนั้น ถ้ามันใช้ปัญญา ใช้สมาธิแล้วมาเกิดเป็นปัญญาทางธรรมนะ มันจะเอาตัวเองนี่รอดได้ขนาดไหน? ทำไมมันไม่พลิกแพลงใช้มาตรงนี้?

นี่ปัญญามันเป็นปัญญากลางไง อย่างเวทนานี่ยังแบ่งสุขแบ่งทุกข์ เห็นไหม เวทนานี่เป็นกลางๆ แล้วจะแบ่งเป็นสุขเป็นทุกข์นี่แล้วแต่คนจะไปยึดถือเอา ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาเหมือนกัน แต่ปัญญาทำไมมันปัญญาให้เป็นปัญญาเห็นแก่ตัวล่ะ? มันไม่เป็นปัญญาเอาตัวรอดออกมาจากความผูกพัน ความที่ยังต้องขับไสไป ออกจากความผูกพัน เห็นไหม ใจผูกพันกับกิเลส กิเลสมันอยู่ในหัวใจ มันยังผูกพันไป มันยังขับดันให้หัวใจนี่ต้องเกิดต้องตายไปตลอด

ถ้าปัญญามันแก้ไขตรงนี้ได้ ธรรมมันประเสริฐประเสริฐตรงนี้ เพราะ! เพราะมนุษย์นี่มันแบ่งแยกได้ มันเห็นโทษเห็นคุณได้ด้วยปัจจุบัน มันไม่เพลิน เกิดเป็นเทวดานะจะเพลินอยู่ในความสุขอย่างนั้นตลอดไป มันไม่มีอะไรมาชี้ให้เห็นสุขกับทุกข์ เกิดในความทุกข์ก็ทุกข์ตลอดไป เมื่อไหร่จะพ้นจากทุกข์นี่ซะทีหนอ มันไม่มีโอกาสหายใจไง

แต่เกิดเป็นมนุษย์มีสุขมีทุกข์ แล้วแต่คนจะหยิบอะไร จะคว้าอะไรมาเป็นของตัว ถ้าคว้าอะไรเป็นของตัว มันผูกพันเข้าไปตรงนั้น ความผูกพันของใจที่มันผูกพันกันไป แล้วถ้าปัญญาที่ว่าปัญญาทางธรรม มันมาปลดเปลื้องตรงนี้

ถ้าปลดเปลื้องตรงนี้ออกมา มันจะปลดเปลื้องออกใช่ไหม พอปลดเปลื้องออก มันไม่มีสิ่งใดกดถ่วง มันเป็นอิสรเสรีภาพของมันเอง ความที่เป็นอิสรเสรีภาพของมันเองแล้ว มันไม่มีอะไรกดถ่วงในหัวใจ ใจนี่เป็นธรรมล้วนๆ มันจะมองภาพย้อนกลับมาเห็นชัดๆ ว่าสิ่งนี้ที่ว่าอกุศลมันปิดบังอยู่ คิดไปทางฝ่ายอกุศล มันโดนอะไรบังไว้?

มันถึงว่าเห็นกิเลสไง กิเลสเท่านั้น ความไม่เห็นจริงเท่านั้น มันบังใจของตัวเองไว้ แล้วบังใจตัวเองไว้ มันคิดไปนะ พอคิดไปถึงบอกว่ามันน่าเศร้าตรงนี้ น่าเศร้าตรงที่บอกว่า เวลาหลวงตาบอกว่า “นรกแล้วจะจดชื่อโดยที่ว่าไม่มีเวลาพักเลย” มันเป็นบาป ๒ ชั้น ชั้นหนึ่งด้วยความไม่รู้ของตัวเองทำไป คิดว่ามันเป็นประโยชน์ไง นั่นทำไปอันหนึ่ง

อันหนึ่งว่ามีผู้มาเตือน ผู้ที่มาเตือนเป็นผู้มีธรรมแล้ว แล้วไปอคติตรงนั้น ติเตียนพระอริยเจ้านะ การจาบจ้วงนี่เป็นบาปอกุศล บาปอกุศลนั่นส่วนหนึ่ง นรกถึงว่าจดไว้ไม่มีเวลาที่จะว่างเลย จดแต่ชื่อพวกนี้ไว้ ซ้ำไว้ๆ เพราะมันต่างกรรมต่างวาระ วาระหนึ่งกรรมหนึ่งก็เป็นวาระหนึ่งกรรมหนึ่ง วาระหนึ่งกรรมหนึ่งก็เป็นวาระหนึ่งกรรมหนึ่ง แล้วมันซ้ำไปๆ อยู่อย่างนั้น มันจะไปถึงไหน

นี่กรรมมันซับซ้อนเข้าไป พอซับซ้อนเข้าไปมันก็หนักเข้าไป นี่สัตว์สังคมไง พูดถึงเทียบถึงปัญญา ถ้าปัญญาของเรามันทำคุณงามความดี มันก็จะเป็นปัญญาของเรา ปัญญาของเรา เรามีอยู่แล้วเราจะเชื่อใคร เราเชื่อตัวเองไม่ได้ เราถึงเชื่อศีลธรรมไง มันต้องเทียบเข้าไปที่ศีลธรรม ศีลธรรมใครเป็นคนชี้นำ? สะอาดพอไม่สะอาดพอ?

ในวงการพระก็เหมือนกัน ในวงการพระก็มีการเมืองเข้าไปในวงการพระ เห็นไหม ถึงจะแก่งแย่งกัน เอาตำแหน่งกัน พยายามหานั่นกัน ถ้ายังไม่มีความบริสุทธิ์อยู่ ในวงการพระ สัตว์สังคม พระก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีกิเลสเหมือนกัน สังคมของพระก็เหมือนกัน สังคมของคฤหัสถ์ สังคมของโลกก็เหมือนกัน แต่ผู้ชี้นำสังคมนั้นก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่งว่า จะชี้นำสังคมให้ออกไปจากความล่มจมได้ไหม?

ถ้าออกจากความล่มจมได้เป็นชั่วคราว แต่มันเป็นอนิจจัง ทุกอย่างเป็นอนิจจังหมดล่ะ ถ้าพูดถึงว่าชาติจะอยู่รอดไหม เราว่าอยู่รอด แต่อยู่รอดด้วยว่าพวกเราทุกข์ยากขนาดไหน กับอยู่รอดด้วยพอไม่ต้องเหนื่อยมากขนาดนั้น

“สหชาติ” การเกิดร่วมพระพุทธเจ้านี้เป็นบุญกุศลมากเลย เพราะพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ว่ารู้ไปหมด ถ้ารู้ไปหมด คนที่สงสัย คนที่อยากประพฤติปฏิบัติไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ จะชี้ทางให้ได้เลย เว้นไว้แต่! เว้นไว้แต่เหมือนกับต้นน้ำ เห็นไหม ต้นน้ำที่มันไหลมาจากทางเหนือ กว่าจะมาถึงปากอ่าว น้ำนั้นมันจะแปรสภาพไปขนาดไหน เว้นไว้แต่อยู่ต้นน้ำ มันระเหยไป มันไหลมากว่าจะลงมารวมเป็นแม่น้ำ มันระเหยไปหมดแล้ว แล้วว่ารวมกันไปๆ

นี่เหมือนกัน บุญกุศลเราสร้างสมขึ้นไป มันจะรวมกันไปๆ จนใกล้ถึงปากอ่าว ออกปากอ่าวได้ไง คนที่ออกปากอ่าวได้ เห็นไหม ลงไปในทะเลมันก็เป็นธรรมทั้งหมด แต่ถ้ายังออกไม่ได้ เว้นไว้แต่ตรงนั้น แต่ถ้าเว้นไว้แต่ตรงนี้ คนๆ นั้นก็จะไม่มีการไขว่คว้า ไม่มีการขวนขวาย

ก็เหมือนที่ว่านี่ บาปอกุศลมันปิดไว้ ไม่สนใจธรรมหรอก ไม่สนใจการประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้าเกิดก็ไม่สนใจพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าเกิด เห็นไหม พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต ที่ว่าเขาฆ่าสัตว์ เขาทำลายกัน มันก็มีตลอดไป แม้แต่รังแกพระพุทธเจ้าก็ยังมี

สมัยพุทธกาลนะ ถ้าเขาไม่เห็นด้วย เขาเปิดมาไม่ได้ คนที่เปิดมาหรือคนที่เข้าใจมา มันเหมือนกับแม่น้ำจะออกปากอ่าวแล้ว ถ้าออกปากอ่าวแล้วพระพุทธเจ้าจะชี้ออกเลย ชี้ออกด้วยจริตนิสัยไง

นี่สหชาติมันสำคัญตรงนั้น สำคัญตรงเกิดร่วมกับผู้มีบุญกุศลไง บุญกุศลทำให้ชาตินี้ไม่ต้องตกทุกข์ได้ยากจนพวกเราจะลำบากเกินไปไง พยายามหนุนไว้ แต่หนุนไว้มันก็เป็นอนิจจัง สูงขึ้นไปแล้วมันก็เวียนไปเวียนมา แต่เราเกิดขณะที่รุ่งเรืองหรือเกิดขณะที่ว่ามันยุบยอบลงล่ะ ถ้าเกิดที่มันยุบยอบลงไป เราก็ทุกข์หน่อย ถ้าเกิดที่มันเจริญขึ้นมา เราก็มีความสุขหน่อย เราเกิดสหชาติ เกิดมาพบครูบาอาจารย์ เกิดมาพบผู้ปกครองที่ดี มันทำให้เราเป็นไปได้ เราเป็นไปได้ เราก็มีความสุขของเรา มีความสุขมีความเป็นไปของเรา

นี่ถึงว่าเกิดเป็นสัตว์สังคมมันย้อนกลับมาตรงนั้น สิ่งที่ทำกันอยู่นี้ การเลือกคนดีเข้าไปเพื่อออกกติกาสังคมมาเพื่อให้สังคมนี้ไปรอด ถ้าออกกติกาสังคมมา ออกกติกามาดีขนาดไหน เห็นไหม ตามหลักเขาว่าแล้ว ผู้ใดออกกฎหมายก็เพื่อผู้นั้น ผู้ใดออกกติกามาก็เพื่อผู้นั้น ถ้าผู้ดีเข้าไปออกกติกามันก็น้อยหน่อย มันต้องเห็นตรงนั้น ภาพมันมองไม่เห็น

แล้วอีกอย่างหนึ่ง กรรมไม่เสมอกัน นิ้วคนไม่เท่ากัน มีเล็กมีใหญ่ เห็นไหม นิ้วไม่เท่ากันอยู่แล้ว ความเห็นคนก็ไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันมันถึงว่าเขาว่าเลวน้อยที่สุด ความเห็นนั้นให้ถูกต้องไว้ ถ้าเราจะได้เป็นไปได้ แล้วเราไม่ต้องทุกข์มากเกินไป

ถ้าทุกข์มากเกินไปมันทุกข์จริงๆ นะ แล้วไม่มีโอกาสได้แก้ไข มันจะย้อนมาถึง เวลาย้อนมาถึงมาแล้วมันถึงจะเป็นไป แต่เราไม่มองตรงนั้นกัน ไปมองว่าไม่พอใจแล้วจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น เราได้แต่คิด นี่มันมโนกรรม มโนกรรมอยู่ในหัวใจ มันขุ่นข้องในหัวใจ แต่เสร็จแล้วความเป็นไปของชีวิต ปัจจัย ๔ นี่ อันนี้ก็ลำบากไปอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเราทำดีมันก็เป็นดี

ถึงบอกทำดีแล้วเป็นดี แล้วเชื่อไง เราถึงว่าเชื่อ เชื่อในศีลธรรม ต้องเอาศีลธรรมเข้ามาเทียบ คิดนี่คิดถูกไหม ปัญญานี่ปัญญาถูกไหม ปัญญาเพื่อไปเข้าหาพรรคพวกหรือปัญญาเพื่อจะปลดเปลื้องไง ปัญญาธรรมคือปัญญาปลดเปลื้อง ความไม่เห็นแก่ตัวแล้วปลดเปลื้องตัวออกไปๆ นั้นปัญญาในทางโลก เห็นไหม ปัญญาทางโลกที่เราแก้ไข

แล้วทางธรรมเข้าไป มันปลดเปลื้องมันจะเห็นเข้าไป ปลดเปลื้องเข้าไป ปลดเปลื้องเข้าไป ปลดเปลื้องถึงที่สุด ที่สุดถึงว่าศีลธรรมถึงพาให้คนพ้นไปได้จากบ่วงของกิเลสนี้ทั้งหมด ถึงเห็นกิเลสนี้ตามความเป็นจริงไง

ถ้าเราไม่เห็นนะ เราคิดว่าเราทำดี ทำดีหนึ่ง ดีของเรานี่กิเลสบัง อันนี้ดีโดยกิเลสนะ แล้วว่าโดยกิเลสเข้าไปยึดอีก เห็นว่าทำเพื่อตัวเองเลย นั้นอีกชั้นหนึ่ง เห็นไหม ทำด้วยความไม่รู้ชั้นหนึ่ง ทำด้วยความเห็นแก่ตัว ความเพื่อพวกเราอีกชั้นหนึ่ง มันก็เป็นไป ๒ ชั้น ๓ ชั้น ถ้าปกป้องไป ถ้าไม่ปกป้อง ถ้าไม่มีกิเลสบังไว้ มันก็ต้องทำอย่างอื่น แต่! แต่จะมีโอกาสทำหรือเปล่า เอวัง